Pages

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558






ประวัติหลวงตาม้าพอสังเขปเท่าที่จำได้นะครับ
เมี่อประมาณปี 2520 ข้าพเจ้าได้เข้าทำงานที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่ถนนสีลมและได้ทำงานร่วมกับท่าน
สมัยท่านยังเป็นฆารวาส ท่านมีนามว่า “วรงคต นามสกุล สุวรรณคุณ" ท่านเป็นบุคคลที่มีอุปนิสัยดี เรียบร้อยเป็นมิตรกับผู้ร่วมงานทุกคนไม่ว่าจะเป็น ผู้บังคับบัญชาและรุ่นพี่กับรุ่นน้อง ท่านเป็นคนทำอะไรทำจริง และรักษาคำพูดเป็นที่สุด สมัยทำงานก็เหมือนกับพนักงานทั่วๆ ไปคือมีการสังสรรค์กันบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องปรกติ ของพนักงาน อาจจะหนักบ้างเบาบ้างแล้วแต่สถานะการ แต่ตัวผมเองหนักตลอดเวลา ขอโทษออกนอกเรื่องนิดหน่อย เรื่องของเรี่องที่หลวงตาท่าน จะด้วยบุญบารมีของท่านที่นำพาท่านให้ได้พบ และปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ดู่ โดยมีเพื่อนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้นำพา และชักนำมากราบหลวงปู่ที่วัดสะแก สมัยนั้นก็อย่างว่าแหละครับ (เรื่องสุรา) เมื่อท่านได้ไปกราบหลวงปู่ ครั้งแรกหลวงปู่ ท่านให้หลวงตาท่านอาราธนาศีล หลวงตาท่านก็กราบเรียนหลวงปู่ว่า กระผมยังดื่มสุรา และถ้าออกจากวัดคงจะไปดื่มอีก หลวงปู่ท่านมีจิตเมตตาต่อหลวงตา ท่านจึงกล่าว บอกกับหลวงตาว่า ตอนนี้แกยังไม่ดื่มก็ยังมีศีลอยู่ ถ้าแกออกไปนอกวัดก็ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และท่านก็ขอให้หลวงตาท่านปฏิบัติภาวนาวันละ 5 นาที ซึ่งหลวงตา ท่านก็รับคำของหลวงปู่ด้วยความที่ท่านเป็นคนทำอะไรทำจริง และรักษาคำพูดเป็นที่สุด จากวันละ 5 นาที ที่ท่านตกปากรับคำกับหลวงปู่ ท่านเริ่มปฏิบัติภาวนาสวดมนต์จากวัน ละ 5 นาที เป็นเวลานานขึ้นนานขึ้น
จนปัจจุบันท่านได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเจริญรอยตามหลวงปู่ดู่ซึ่ง เป็นเปรียบเสมือน "พ่อ แม่ ครูอาจารย์" ของท่านสืบมา จนปัจจุบันนี้
หมายเหตุข้อความบางตอน ผมได้นำมากล่าวนี้บางส่วนได้คัดลอกมาจากหนังสือที่ "อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์" ซึ่งเป็นศิษย์คนสำคัญของหลวงปู่ดู่อีกท่านหนึ่ง
ผมขอกราบคารวะ ท่านด้วยความเคารพ
เรี่องที่ได้เล่าให้ฟังนี้อาจจะ มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องต้องขอกราบขอโทษ และถ้ามีตอนใด ตอนหนึ่งซึ่งไปกระทบหลวงตาท่าน ผมขอการ โยโธโสฯ ท่านครับ ขอกล่าวเพิ่มเติม
เมื่อครั้งหลวงตาท่านได้รับคำกับหลวงปู่ แล้วท่านนำมาปฏิบัติและเรียนรู้เพิ่มเติม
กับหลวงปู่ อีกเป็นเวลากว่า 10 ปี เมื่อท่านมีเวลาว่างหรือวันหยุด ท่านจะรีบเดินทาง ไปกราบหลวงปู่ และศึกษาหาความรู้จากหลวงปู่ทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ ภาวนาแล้ว ฝึนจิตใจ จนกล่าวได้ว่า ท่านเป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้รับการอบรมสั่งสอน จากหลวงปู่มาเป็นเวลาอันยาวนานมาก ขนาดยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหน้าที่ การงานที่ท่านกำลังรุ่งเรือง และทรัพย์สินอันมีค่าทุกอย่าง
เพื่อท่านจะได้ละเพศฆราวาส เพื่อศึกษาพระธรรม และเจริญรอยตามคำสอนของหลวงปู่ ซึ่งมีเมตตาอบรมสั่งสอนศิยษ์ผู้นี้ คือหลวงตาม้า
กระผมและเหล่าบรรดาเพี่อนๆ ที่เคยได้ร่วมงานกันมา มิเคยสงสัยหรือผิดหวังในตัวท่าน เพราะพวกเราต่างทราบกันดี ว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่ มีความเพียรปฏิบัติ และจริยวัตรงดงามมีความเมตตาต่อลูกศิษย์ และบุคคลทั่วๆ ไปกระผมขอกราบแทบเท้า ท่านด้วยความปิติยินดี และยกให้ท่านแทนพ่อแม่ ครูอาจาย์สืบทอดคำสอนของ
หลวงปู่ดู่ "พรหมปัญโญ" สาธุครับ
สรุปคำสอนของหลวงปู่ดู่โดย อาจารย์ ศุภรัตน์แสงจันทร์
ท่านเคยพูดถึงการสมาทานศีลว่าได้ทั้ง5และจะลดลงเมื่อละเมิด ถ้าตายในขณะนับศีลหรือยังไม่ทันละเมิดย่อมมีอานิสงส์ดีกว่าไม่มีศีล ชึ่งอาจเกิดจากรับศีลจากพระหรือตั้งใจรักษาเอง แต่ผู้ปฏิบัติได้มโนยิมธิขอรับจากพระพุทธองค์บอกหรือหลวงปู่ทวดก็ได้
เรื่อง ไตรรัตน์ เรียบเรียง Tj
เตียวจูล่ง



จูล่ง (จีนตัวเต็ม: 子龍; จีนตัวย่อ: 子龙; พินอิน: Zǐlóng) เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่อง สามก๊ก ที่มีตัวตนจริง ชื่อจริงว่า เตียวหยุน (จีนตัวเต็ม: 趙雲; จีนตัวย่อ: 赵云; พินอิน: Zhào Yún) แม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ และเป็นหนึ่งในห้าทหารเสือ
จูล่ง ได้รับฉายาว่าเป็น “สุภาพบุรุษจากเสียงสาน” เกิดในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 2 ประมาณปี ค.ศ. 161[1] ที่อำเภอเจินติ้ง เมืองเสียงสาน มีแซ่เตียว (จ้าว) ชื่อ หยุน (แปลว่าเมฆ) ชื่อรอง จูล่ง หรือ จื่อหลง (แปลว่าบุตรมังกร) สูงประมาณ 6 ศอก (1.89 เมตร) หน้าผากกว้างดั่งเสือ ตาโต คิ้วดก กรามใหญ่กว้างบ่งบอกถึงนิสัยซื่อสัตย์ สุภาพเรียบร้อย น้ำใจกล้าหาญ สวมเกราะสีขาว ใช้ทวนยาวเป็นอาวุธ พาหนะคู่ใจ คือ ม้าสีขาว
จูล่งเดิมเดิมเป็นชาวเมืองเสียงสาน ต่อมาได้มาเป็นทหารของอ้วนเสี้ยว แต่อ้วนเสี้ยวหยาบช้า ไร้น้ำใจ จูล่งจึงหนีไปอยู่กับกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋ง โดยที่ขณะนั้นกองซุนจ้านได้ทำศึกกับอ้วนเสี้ยว จูล่งยังได้ช่วยชีวิตกองซุนจ้านไว้แล้วสู้กับบุนทิวถึง 60 เพลง จนบุนทิวหนีไป ต่อมาจูล่งได้มีโอกาสรู้จักกับเล่าปี่ ทั้งสองต่างเลื่อมใสซึ่งกันและกัน เมื่อกองซุนจ้านฆ่าตัวตายเพราะแพ้อ้วนเสี้ยว จูล่งจึงได้ร่อนเร่พเนจรจนมาถึงเขาโงจิวสัน ซึ่งมีโจรป่ากลุ่มหนึ่งมีหุยง่วนเสียวเป็นหัวหน้า หุยง่วนเสียวคิดชิงม้าจากจูล่ง จูล่งจึงฆ่าหุยง่วนเสียวตายแล้วได้เป็นหัวหน้าโจรป่าแทน ต่อมากวนอูได้ใช้ให้จิวฉองมาตามหุยง่วนเสียวและโจรป่าไปช่วยรบ จิวฉองเมื่อเห็นจูล่งคุมโจรป่าจึงคิดว่าจูล่งคิดร้ายฆ่าหุยง่วนเสียว จิวฉองจึงตะบันม้าเข้ารบกับจูล่ง ปรากฏว่าจิวฉองต้องกลับไปหากวนอูในสภาพเลือดโทรมกาย ถูกแทงถึง 3 แผล (สำนวนสามก๊กฉบับวณิพกของ ยาขอบ) จิวฉองเล่าว่าคนผู้นี้มีฝีมือระดับลิโป้ ดังนั้นกวนอูกับเล่าปี่จึงต้องรุดไปดูด้วยตนเอง แต่เมื่อได้พบกันจูล่งก็เล่าความจริงทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมาจูล่งก็ได้เป็นทหารเอกของเล่าปี่เคยรบชนะม้าเฉียวในการประลองตัวๆและยังเคยทะเลาะกับเตียวหุยตอนอยู่กับกองซุนจ้านจนเกือบสังหารเตียวหุยแต่กวนอูมาขวางไว้
ในปี พ.ศ. 751 จูล่งสร้างวีรกรรมครั้งสำคัญคือ ฝ่าทัพรับอาเต๊า บุตรชายของเล่าปี่ที่เกิดจากนางกำฮูหยิน ซึ่งพลัดหลงกับเล่าปี่ที่ทุ่งเตียงบันโบ๋ จูล่งทำการครั้งนี้เพียงคนเดียว ท่ามกลางทหารและองครักษ์มากมายของโจโฉที่ยกทัพลงทางใต้หวังรวบรวมแผ่นดิน และได้ฆ่าทหารเอกและทหารเลว ของโจโฉมากมาย ตั้งแต่ 03.00 น. จนถึง 15.00 น. ของอีกวัน จนโจโฉ ถึงกับถามชื่อขุนพลผู้นี้ ซึ่งจูล่งได้ตอบโจโฉว่า “ข้าชื่อจูล่ง แห่งเสียงสาน” โจโฉประทับใจในความกล้าหาญของจูล่ง จึงสั่งไม่ให้ใช้เกาทัณฑ์ยิง ทำให้จูล่งสามารถอุ้มเอาอาเต๊าหนีกลับมาหาเล่าปี่ได้และครั้งหนึ่งจูล่งได้ไปชิงตัวอาเต๊าคืนมาจากซุนฮูหยิน ที่ต้องกลของซุนกวนที่หวังจะดึงไปเป็นตัวประกันที่ง่อก๊ก
ภายหลังเมื่อจูล่งติดตามเล่าปี่เข้าเสฉวนและรับตำแหน่งแม่ทัพร่วมกับฮองตงไปทำศึกชิงเขาเตงกุนสันที่ฮันต๋ง จูล่งก็สร้างวีรกรรมสำคัญช่วยเหลือฮองตงซึ่งกำลังเสียทีตกอยู่ในวงล้อมกองทัพของโจโฉและตีฝ่าออกมาได้ เมื่อโจโฉนำทัพไล่ตามไป จูล่งก็นำทหารเข้าไปในค่ายและตนเองแต่ผู้เดียวออกมาขี่ม้าถือทวนอยู่หน้าค่าย โจโฉเกิดความระแวง จูล่งจึงอาศัยโอกาสนั้นให้ทหารที่ซุ่มอยู่เข้าตีทั้งสองด้านไล่ทัพโจโฉจนต้องถอยร่นไป เมื่อเล่าปี่มาตรวจค่ายที่จูล่งทำศึกก็ออกปากยกย่องจูล่งว่า มีดีไปทั้งตัว ซึ่งหมายถึงมีความกล้าหาญไปทั่วทั้งตัว
จูล่งเป็นผู้ที่ติดตามเล่าปี่ตลอด แม้จะไม่ได้สาบานเป็นพี่น้องกันเหมือน กวนอูและเตียวหุย แต่จูล่งก็เรียกกวนอูและเตียวหุยว่า “พี่สองและพี่สาม” แต่กับเล่าปี่ จูล่งจะเรียกว่า “นายท่าน” เมื่อครั้งเล่าปี่ต้องการแก้แค้นให้กวนอูและเตียวหุยซึ่งถูกง่อก๊กสังหาร จูล่งเป็นผู้ที่คัดค้านและแนะนำว่าเล่าปี่ควรเห็นละความแค้นส่วนตัว และปราบวุยก๊กของโจผี ซึ่งเป็นผู้ที่ประชาชนมองว่าเป็นศัตรูแผ่นดินตัวจริง แต่เล่าปี่ไม่ฟัง เมื่อเล่าปี่นำกองทัพไปพ่ายแพ้ที่อิเหลง จูล่งซึ่งเป็นทัพหลังและเตรียมพร้อมไว้ก่อนจึงพาเล่าปี่หนีกลับมาพำนักที่เมืองเป๊กเต้เสีย เมื่อก่อนเล่าปี่จะสิ้นใจได้เรียก ขงเบ้งเข้าพบ และเรียกจูล่ง ตรัสด้วยคำพูดว่า ” ท่านกับเรานั้นเป็นเพื่อนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา แต่มาบัดนี้ ชะตากรรมกำลังพรากเราสอง ขอให้ท่านนึกถึงนำใจเก่าก่อนช่วยเหลือบุตรเราและท่านขงเบ้ง ฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นอัญเชิญราชวงศ์ฮั่นกลับสู่ราชธานีลกเอี๋ยงด้วย ”
หลังจากที่เล่าปี่เสียชีวิตลง จูล่งเป็นทหารสังกัดของขงเบ้ง เมื่อยามศึกยังสู้แม้ตัวเองแก่แล้ว มีครั้งหนึ่ง ก่อนรบศึกกับฝ่ายวุยก็ก ช่วงนั้นขงเบ้งเลือกทหารให้ไปรบ แต่กลับไม่เลือกจูล่ง เพราะขงเบ้งว่าจูล่งแก่แล้ว แต่จูล่งกลับแย้งขี้นมา และได้เป็นทัพหน้าสมใจ แม้ในวัยชราแล้วก็ยังสามารถนำทหารเข้าต่อสู้และเอาชัยเหนือแม่ทัพหนุ่มๆของข้าศึกได้ จูล่งเสียชีวิตอย่างสงบในเมืองฮั่นจง เมื่อปี พ.ศ. 772 หลังจากที่จูล่งตาย ขงเบ้งได้รำพันออกมาว่า “แขนซ้ายข้าขาดแล้ว” และเป็นลมสิ้นสติไปด้วยความเสียใจ
จูล่ง ถือได้ว่าเป็นตัวละครที่ผู้อ่านสามก๊กโดยส่วนมาก โปรดปราน ชื่นชมมากที่สุดในบรรดาตัวละครทั้งหมดในเรื่อง เนื่องจากเป็นผู้ที่มีรูปลักษณ์การแต่งกายสง่างาม ฝีมือสัประยุทธ์เป็นเลิศ และมีความซื่อสัตย์ ทำการโดยไม่เห็นแก่ลาภยศ พร้อมมีสติปัญญาเป็นเยี่ยม